สิ่งที่ทำให้หลายท่านตัดสินใจลำบากเวลาไปเลือกซื้อรั้วตาข่ายก็คือ ยังไม่มีข้อมูลจึงไม่ทราบว่าชนิดไหนจะทนทาน ใช้งานได้ยาวนาน คุ้มค่ามากกว่ากัน เพราะสิ่งที่เห็นในท้องตลาด หรือในศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างทุกแห่งก็คือ รั้วตาข่ายที่มีชื่อเรียกและคุณสมบัติต่าง ๆ ล้วนแต่รองรับการใช้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสิ้น
ควรทำความเข้าใจเสียก่อนว่า คำว่า รั้วตาข่ายถักปม หรือรั้วตาข่ายแรงดึงสูง ล้วนแล้วแต่เป็นคำที่ใช้เรียกคุณสมบัติของรั้วนั่นเอง นั่นคือ เส้นลวดเหล็กที่ถูกยึดประสานกันเป็นตาข่ายโดยการมัดหรือถักจนเป็นปมในลักษณะต่าง ๆ เราเรียกว่า “รั้วตาข่ายถักปม” ขณะที่ “รั้วตาข่ายแรงดึงสูง” หมายถึงชนิดของตาข่ายเหล็กที่มีค่าความแข็งแรงและค่าการยืดหดตัวหรือสปริงตัวสูงเป็นพิเศษ ทำให้เส้นลวดแข็งแรงมากกว่าชนิดธรรมดา
ส่วนเรื่องความทนทาน แน่นอนว่าย่อมจะต้องเกี่ยวข้องกับสภาพดินฟ้าอากาศ ฝน แดด ความชื้น และอุณหภูมิ
เชื่อหรือไม่ว่า มีรั้วตาข่ายที่ถูกผลิตให้มีอายุการใช้งานได้นานตั้งแต่ 10 – 70 ปีเลยทีเดียว
สิ่งที่ทำให้รั้วตาข่ายมีคุณภาพมากขึ้นในเรื่องอายุการใช้งาน นั่นคือชนิดและความหนาของสารที่ใช้เคลือบตัวเส้นลวดเหล็ก ตัวอย่างการผลิตใช้งานในประเทศนิวซีแลนด์ โดยผู้ผลิตรั้วตาข่ายที่มีคุณภาพรายใหญ่ เนื่องจากเป็นประเทศที่ล้อมรอบด้วยทะเล มีความชื้นในอากาศสูง เขาจึงออกแบบสารเคลือบที่มีมาตรฐานสูงชื่อ อลูซิงค์ อัลลอย (Aluzinc Alloy) คือโลหะผสมที่ประกอบด้วย อะลูมิเนียมและสังกะสี ผลิตด้วยกรรมวิธีชุบความร้อนแบบต่อเนื่อง สร้างคุณสมบัติต้านทานการกัดกร่อนและการก่อสนิมได้ดีมากกว่าวิธีเคลือบแบบเก่าที่ใช้สังกะสีหรือกัลวาไนซ์หลายเท่า
ขอแนะนำวิธีทดสอบการเกิดสนิมบนรั้วตาข่ายอย่างง่าย โดยการใช้เกลือ 1 ส่วน น้ำส้มสายชู 4 ส่วน และไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ 2 ส่วน ผสมเข้าด้วยกันในแก้วใส จากนั้นนำชิ้นส่วนลวดตาข่ายที่ต้องการทดสอบและเปรียบเทียบกันมาแช่ของเหลวในแก้ว ตั้งทิ้งไว้แล้วสังเกตการเปลี่ยนแปลงเพื่อเปรียบเทียบดูว่า รั้วตาข่ายชนิดใดที่เกิดการก่อสนิมเร็วกว่าชนิดอื่น ๆ
นอกจากตัวรั้วตาข่ายที่มีความแข็งแรงและมีคุณสมบัติที่ดีแล้ว สิ่งสำคัญที่มีส่วนส่งเสริมกันโดยตรงก็คือ ต้นเสาที่ใช้ยึดรั้วตาข่าย ต้องมีความแข็งแรง ไม่แตกหักง่าย ตั้งอยู่บนฐานอย่างมั่นคง ไม่เอนล้ม จึงทำให้รั้วตาข่ายไม่ผิดรูปและไม่ชำรุดง่ายตามไปด้วย